นับเป็นเรื่องราวที่สะเทือนขวัญผู้คนเป็นอย่างมาก สำหรับ คดีฆ่าหั่นศพ “น้องแอ๋ม” หรือ น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย สาวคาราโอเกะ คดีดังกล่าวตกเป็นข่าวดังทันที เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2560 ชาวบ้านในพื้นที่ บ.โนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พบศพสาวถูกฆ่าหั่นแยกออกเป็น 2 ท่อน จากนั้นมือฆ่าได้นำศพฝังดิน ขณะนั้นยังไม่มีใครทราบว่าผู้ตายคือใคร
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวน ก่อนจะทราบว่า ผู้ตายคือ น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย หรือแอ๋ม อายุ 23 ปี เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาดี ทำงานอยู่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ขอนแก่น เบื้องต้นหลังพบศพเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งปมในการสังหารไว้คือ ขัดแย้งส่วนตัว เรื่องชู้สาว รวมไปถึงลวงฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ ทางเจ้าหน้าที่เร่งติดตามตัวคนร้าย และเมื่อทำการตรวจกล้องวงจรปิดพบว่าก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายได้มีการกดเงินออกจากบัญชี โดยมีสาวทอมชื่อน้ำฝน ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ตายเป็นคนไปส่ง
เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวน้ำฝนเข้าให้ปากคำ น้ำฝนให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ตนพาน้องแอ๋มไปกดเงินที่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง เมื่อเวลาประมาณตี 4 ของวันที่ 23 พ.ค.60 จากนั้นได้พาน้องแอ๋มไปส่งที่หน้าปากซอยหอ ส่วนตนก็กลับหอพักตัวเอง และเมื่อตนถึงห้องก็วิดีโอคอลคุยกับผู้ตาย ขณะวิดีโอคุยกันนั้น น้องแอ๋มอยู่ด้านล่างหอพัก และขาดการติดต่อนับแต่นั้น ตนมาทราบข่าวว่าน้องแอ๋มเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พ.ค. โดยมีน้องชายทักแชทเฟซบุ๊กมาบอก สำหรับการคบหากับแอ๋มนั้น น้ำฝนระบุว่า รู้จักกันประมาณ 1 อาทิตย์เท่านั้น โดยเป็นการรู้จักกันผ่านทางเฟซบุ๊ก พบกันประมาณ 3-4 ครั้ง
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้เรียกตัวป๊อปปี้ ทอมเพื่อนสนิทอีกคนของน้องแอ๋มมาสอบปากคำ เนื่องจากเธอเป็นบุคคลที่น้องแอ๋มสนิทด้วย อีกทั้งทั้งคู่ยังพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ป๊อปปี้ระบุว่า ตนติดต่อน้องแอ๋มได้ครั้งสุดท้าย เมื่อเวลา 06.22 วันที่ 23 พ.ค.โดยผู้ตายบอกว่ายังอยู่กับเพื่อน จากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย สำหรับป๊อปปี้นั้นเคยคบหากับผู้ตายมาประมาณ 3 ปี จนกระทั่งผู้ตายไปแต่งงานกับ นายศักดิ์ชัย อายุ 35 ปี ชาว จ.หนองคาย โดยช่วงที่ผู้ตายไปแต่งงานก็ได้เลิกคบกันไป แต่ก็มีการโทรพูดคุยกันบ้างตามประสาคนรู้จัก แต่เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ตายได้ติดต่อมาว่าจะมาทำงานที่ จ.ขอนแก่น และสุดท้ายผู้ตายก็เดินทางมาทำงาน จึงตัดสินใจเช่าอพาร์ทเมนท์และพักอาศัยอยู่ด้วยกัน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายถูกเรียกตัวมาสอบปากคำทั้งหมด รวมไปถึง นายศักดิ์ชัย สามีของน้องแอ๋ม เย็นวันที่ 26 พ.ค.นายศักดิ์ชัย สามีของผู้ตายได้เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เขาสวนกวาง พร้อมยืนยันว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุสยองนี้อย่างแน่นอน
สำหรับความสัมพันธ์กับผู้ตายนั้น นายศักดิ์ชัย เผยว่า ตนแต่งงานอยู่กินกับผู้ตายมาตั้งแต่ต้นปี ก่อนจะย้ายไปทำงานด้วยกันที่ กทม. ส่วนตัวทราบดีว่าผู้ตายเคยคบหาสาวหล่อมาก่อน ซึ่งตนทราบว่าชื่อ ป๊อปปี้ หลังแต่งงานตนต้องออกต่างจังหวัดบ่อย ๆ เพราะทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง แฟนสาวจึงไปอยู่กับญาติที่ จ.ชัยนาท จากนั้น แฟนสาวก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่าง กทม. กับ จ.ชัยนาท จนกระทั่งแฟนสาวขอมาอยู่กับญาติที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งตนก็ไม่ว่าอะไร เพราะห้ามแล้วไม่ฟัง และทราบดีว่าแฟนสาวมาอยู่กับสาวทอมชื่อ ป๊อปปี้ แต่ตนก็ไม่ได้ติดใจอะไร และยังติดต่อกันอยู่เสมอ โดยครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกันคือวันที่ 22 พ.ค.เวลา 23.47 น. ก่อนที่จะติดต่อไม่ได้อีกเลย
*** หลังจากทั้ง 3 คนถูกเรียกตัวมาสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่า ไม่พบพิรุธหรือสิ่งผิดปกติใด ๆ ขณะที่แนวทางการสืบสวนพบรถต้องสงสัยที่ผู้ตายขึ้นไปก่อนพบศพกลายเป็นศพ แต่ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ
คดีดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้คน ในส่วนของโลกออนไลน์ต่างวิพากษ์วิจารณ์ คาดเดาไปต่าง ๆ นานา ว่าใครคือฆาตกรฆ่าหั่นศพน้องแอ๋มกันแน่ และช่วงเช้าของวันที่ 29 พ.ค. ดูเหมือนอะไร ๆ ค่อย ๆ คลี่คลายลง เมื่อมีตัวละครใหม่เพิ่มขึ้น ศาลจังหวัดขอนแก่นได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ โดยผู้ถูกกล่าวหาเป็นชาย 1 คน หญิง 3 คน ประกอบด้วย นายวศิน อายุ 22 ปี , น.ส.จิดารัตน์อายุ 21 ปี , น.ส.ปรียานุช อายุ 24 ปี และ น.ส.กวิตา อายุ 25 ปี
ผู้ต้องหา คดีฆ่าหั่นศพแอ๋ม
และช่วงเย็นของวันที่ 29 พ.ค. นายวศิน 1 ในผู้ต้องหา ได้ติดต่อเข้ามอบตัวกับตำรวจ ที่ กองบังคับการตำรวจภูธร จ.อุดรธานี ในช่วงเที่ยงวัน แต่แล้วเมื่อถึงเวลานัดหมายก็ไม่มีการเข้ามอบตัว จนกระทั่งวันที่ 30 พ.ค. เจ้าหน้าที่ บก.สส.ภาค 4 สามารถทำการจับกุมตัว นายวศิน ที่เกสต์เฮาส์ ใกล้มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
จากการสอบสวนนายวศินให้การเบื้องต้นว่ารู้เห็นกับการฆาตกรรมจริง โดยซัดทอด น.ส.ปรียานุช หรือ เปรี้ยว เป็นผู้ลงมือฆ่าและทำลายศพ โดยก่อนเกิดเหตุไปเช่ารถซีอาร์วีมาให้ตนเป็นคนขับ จากนั้นได้ลักพาตัวน้องแอ๋ม โดยระหว่างทาง น.ส.เปรี้ยวได้ใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวน้องแอ๋มแล้วซ้อม ซึ่งน้องแอ๋มก็พูดออกมาว่า ซ้อมเลย ถ้ารอดไปได้จะมาเอาคืน ปรากฏว่า น.ส.เปรี้ยวซ้อมและบีบคอน้องแอ๋มจนขาดใจตายบนรถ
นายวศินระบุ เปรี้ยวบอกให้พาไปยังที่ดินของตนเองใน อ.เขาสวนกวาง เพื่อนำศพน้องแอ๋มไปทิ้ง ระหว่างทางได้ซื้ออุปกรณ์พวก เลื่อย ใบมีด ถุงพลาสติก ปูนซีเมนต์ และเสียม ตามร้านขายวัสดุก่อสร้าง ส่วนผู้ที่ลงมือหั่นศพคือ น.ส.เปรี้ยว ตนเองไม่ได้ทำ เพียงแค่มีหน้าที่ขับรถให้เท่านั้น
ก่อนจะขับรถไปที่รีสอร์ต ในพื้นที่บ้านโนนทัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น แล้วลงมือหั่นศพแอ๋มด้วยตัวเอง ส่วนสาเหตุมาจาก น.ส.เปรี้ยวมีความแค้นส่วนตัวกับน้องแอ๋ม โดย น.ส.เปรี้ยวอ้างว่าน้องแอ๋มเป็นสายชี้เป้ากับตำรวจให้จับกุม เปรี้ยวในคดียาเสพติด เมื่อมีโอกาสจึงคิดแก้แค้น
ทั้งนี้คำให้การดังกล่าวตรงกับพี่สาวของ น.ส.ปรียานุช หรือเปรี้ยว ที่ได้เผยกับตำรวจไปก่อนหน้านี้ว่า น้องสาวเป็นผู้ลงมือฆ่าและหั่นศพน้องแอ๋มด้วยตนเอง โดยพี่สาวของเปรี้ยวระบุ มีการติดต่อพูดคุยทางโปรแกรมแชทเมื่อช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ของวันที่ 29 พ.ค.
พี่สาวของเปรี้ยวเผยว่า น้องสาวโทรศัพท์มาเล่าว่าพลั้งมือฆ่าน้องแอ๋ม เพราะแค้นที่ถูกหักหลังเรื่องยาเสพติด โดยก่อนจะลงมือนั้นได้ออกอุบายให้ผู้ตายออกมาหา ตอนแรกแค่ต้องการสั่งสอนให้หายแค้น เพราะผู้ตายพาตำรวจไปจับแฟนหนุ่มที่ค้ายา และยังถูกขยายผลไปบ้านแม่
เปรี้ยว ฆ่าหั่นศพ
มีกระแสข่าวออกมามากมายว่าเปรี้ยวและเพื่อนของเธอ ติดต่อขอมอบตัว แต่แล้วสุดท้ายก็ไม่มีใครเข้ามอบตัว อีกทั้งยังพบว่า ผู้ต้องหาต่างพากันแยกย้ายหลบหนี มีข่าวออกมาแม้กระทั่งว่า น.ส.กวิตา หรือเอิร์น และ เปรี้ยว ถูกจับกุมได้ที่ฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน แต่มีเบาะแสเพิ่มขึ้น เมื่อกล้องวงจรปิดด่านแม่สายสามารถจับภาพรถต้องสงสัยคันหนึ่งได้
จากการตรวจสอบกล้องจงปิดพบว่า วันที่ 25 พ.ค. 3 สาวได้หนีไปประเทศเมียนมา โดยมีรถมารับไป และเมื่อทำการตรวจสอบทำให้ทราบว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถที่มารับพวกเธอไปทำงานที่ร้านอาหาร โดยร้านอาหารดังกล่าวนั้นอยู่ทางฝั่งเมียนมา ทางเจ้าของร้านอาหาร เปิดเผยว่า ตนได้รับการติดต่อจากกลุ่มผู้ต้องหาว่า พวกเธอสนใจที่จะเข้าทำงานที่ร้านอาหารของตน โดยได้รับการติดต่อตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค. และวันที่ 25 พ.ค. กลุ่มผู้ต้องหาก็เดินทางมาที่แม่สาย ซึ่งตนอยู่ต่างจังหวัดจึงให้ผู้จัดการร้านไปรับ และปกติทางร้านจะส่งคนไปรับพนักงานอยู่แล้ว
ทั้งนี้ทางผู้จัดการร้านแจ้งว่า กลุ่มผู้ต้องหามากันทั้งหมด 3 คน คือ เปรี้ยว เอิร์น และ น.ส.อภิวันทน์ หรือแจ้ ซึ่งวันที่ 25 พ.ค.ผู้จัดการร้านได้พาทั้ง 3 ข้ามด่านแม่สาย และไปพักที่ อ.ท่าขี้เหล็ก จากนั้นทั้ง 3 สาวก็หายไปกับลูกค้า สำหรับการเดินทางข้ามประเทศของทั้ง 3 สาวนั้น มีการขอหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ที่ อ.แม่สาย และ ตม.ก็สแตมป์ออกให้ตามปกติ
เอิร์น ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม
และเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมตัว น.ส.จิดารัตน์ หรือ เบนซ์ 1 ในผู้ต้องหาตามหมายจับได้ หลังหนีกลบดานในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี หลังถูกสอบสวนผู้ต้องหารายนี้ให้การว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการฆ่าและหั่นศพน้องแอ๋ม เพราะในวันเกิดเหตุอาศัยอยู่กรุงเทพฯ แต่ยอมรับว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุได้เดินทางมาหาจริง โดยเบนซ์นั้นเป็นแฟนสาวของวศิน แม้เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์การฆาตกรรมน้องแอ๋ม แต่เธอคือบุคคลที่นำทรัพย์สินของผู้ตายไปขาย
สำหรับแจ้ หรือ น.ส.อภิวันทน์ คนร้ายคนที่ 5 เธอคือบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ลงมือฆ่าน้องแอ๋มทางเจ้าหน้าที่ได้รวบรวบพยานหลักฐานยื่นต่อศาล จ.ขอนแก่น เพื่อขออนุมัติหมายจับ คาดว่าใน1-2 วันนี้ น่าจะมีการอนุมัติหมายจับออกมา สำหรับ น.ส.ปรียานุช หรือ น.ส.เปรี้ยว และ น.ส.กวิตา หรือ เอิร์น จากข้อมูลล่าสุด ยังกลบซ่อนตัวอยู่ในในประเทศเมียนมา ซึ่งขณะนี้ได้เร่งประสานการจับกุมผู้ต้องหาอีก 2 ราย ที่หลบหนีแล้ว
ทั้งนี้ พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.3 บก.สส.ภ.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ผกก.สภ.เขาสวนกวาง ทำการควบคุมตัว นายวศิน ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย และ สปป.ลาว จับกุมตัวได้ เมื่อวานนี้ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาในการทำแผนประมาณ 10 นาที โดยเริ่มจากจุดทีนายวศินขับรถมาจอด การช่วยกันนำร่างของผู้ตายลงจากรถ การช่วยกันขุดหลุมและนำศพลงไปฝังดิน ก่อนนำตัวกลับไปทำการควบคุมตัวของทางเจ้าหน้าที่
พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ กล่าวว่า ผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุทั้งหมด มี 5 คน โดยคนสุดท้ายขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการอนุมัติหมายจับ คือ น.ส.อภิวันท์ ซึ่งข้อมูลล่าสุดพบว่าหลบหนีไปกับผู้ต้องหา 2 คนก่อนหน้านี้ที่ประเทศเมียนมาแล้ว และอยู่ในขั้นตอนของการประสานงานระหว่างประเทศเพื่อติดตามจับกุมตัว